ทองคำได้รับการยอมรับมาหลายพันปีว่าเป็นสินทรัพย์มีค่าและเป็นที่เก็บมูลค่าที่เชื่อถือได้ ราคาทองคำในตลาดโลกปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,600-2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 91,000-95,000 บาทต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 43,000-44,000 บาทต่อบาท ขึ้นอยู่กับราคาซื้อหรือขาย คุณสมบัติที่ทำให้ทองคำมีคุณค่าได้แก่ ความหายาก ไม่เสื่อมสภาพ และการยอมรับในทุกวัฒนธรรมทั่วโลก

Bitcoin บางครั้งถูกเรียกว่า "Digital Gold" หรือทองคำดิจิทัล เนื่องจากมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับทองคำ โดยเฉพาะความหายาก Bitcoin มีจำนวนจำกัดแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ไม่มีใครสามารถสร้างเพิ่มได้อีก ในปัจจุบันมี Bitcoin หมุนเวียนอยู่ในตลาดประมาณ 19.8 ล้านเหรียญแล้ว และคาดว่าจะขุดได้ครบทั้งหมดในปี 2140

ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างทองคำและ Bitcoin คือความผันผวนของราคา ทองคำมีความเสถียรสูงกว่ามาก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาราคาทองคำขึ้นลงประมาณ 50-60% เท่านั้น ในขณะที่ Bitcoin สามารถขึ้นหรือลง 80% ภายในปีเดียวได้ ความผันผวนนี้ทำให้ Bitcoin มีโอกาสในการทำกำไรสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย

การเก็บรักษาและการขนส่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่แตกต่างกันชัดเจน ทองคำต้องเก็บในที่ปลอดภัย อาจต้องใช้ตู้เซฟหรือเช่าตู้นิรภัยจากธนาคาร การขนส่งทองคำข้ามประเทศมีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ส่วน Bitcoin สามารถเก็บใน Wallet ดิจิทัลและโอนไปทั่วโลกได้ในเวลาไม่กี่นาทีโดยมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ามาก

สภาพคล่องในการซื้อขายก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ทองคำสามารถซื้อขายได้ง่ายทั่วโลก มีตลาดที่มีสภาพคล่องสูงมาก แต่การซื้อขายต้องผ่านตัวกลางเช่นร้านทอง ธนาคาร หรือโบรกเกอร์ และมีค่าธรรมเนียมการขายคืนที่ค่อนข้างสูง Bitcoin สามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมงตลอด 7 วันในสัปดาห์ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนออนไลน์ มีสภาพคล่องสูงและค่าธรรมเนียมต่ำกว่า

นักลงทุนไทยหลายคนเริ่มสนใจการกระจายพอร์ตการลงทุนโดยถือทั้งทองคำและคริปโตไปพร้อมกัน กลยุทธ์นี้ช่วยลดความเสี่ยงเพราะทองคำและคริปโตมักจะมีความสัมพันธ์เชิงลบหรือไม่มีความสัมพันธ์กัน เมื่อสินทรัพย์ชนิดหนึ่งลง อีกชนิดหนึ่งอาจคงที่หรือขึ้นก็ได้ การมีทองคำช่วยให้พอร์ตมีเสถียรภาพ ขณะที่คริปโตให้โอกาสในการเติบโตที่สูงกว่า

การลงทุนในทองคำสำหรับคนไทยทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณจากร้านทอง การซื้อ Gold Future หรือ Gold ETF ในตลาดหลักทรัพย์ หรือการฝากทองคำในธนาคารที่ให้บริการ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน การซื้อทองคำแท่งเหมาะกับคนที่ต้องการถือสินทรัพย์จริง ส่วน ETF เหมาะกับคนที่ต้องการซื้อขายได้สะดวกโดยไม่ต้องเก็บของจริง

ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เช่นเกิดเงินเฟ้อสูงหรือวิกฤตการเงิน ทั้งทองคำและ Bitcoin มักจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะ Safe Haven Asset หรือสินทรัพย์ปลอดภัย ในปี 2024-2025 เมื่อธนาคารกลางหลายประเทศพิมพ์เงินเพิ่มและมีความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ราคาของทั้งสองสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำและคริปโตมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ทองคำมีความเสี่ยงจากการปลอมแปลง โดยเฉพาะทองรูปพรรณ และมีความเสี่ยงจากการถูกขโมย ส่วนคริปโตมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาที่สูงมาก ความเสี่ยงจากการถูกแฮกหรือสูญหาย Private Key และความเสี่ยงจากกฎระเบียบของรัฐบาลที่อาจเปลี่ยนแปลงได้

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญต่อการถือทั้งสองสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นในเชิงบวก หลายคนแนะนำให้พอร์ตการลงทุนมีทองคำประมาณ 5-10% และคริปโต 1-5% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละคน สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นควรเริ่มจากการศึกษาให้เข้าใจทั้งสองสินทรัพย์อย่างละเอียดก่อนลงทุน

การเปรียบเทียบผลตอบแทนในระยะยาวพบว่า Bitcoin มีผลตอบแทนสูงกว่าทองคำมาก ถ้าเราลงทุนทองคำ 100,000 บาทในปี 2015 ปัจจุบันจะมีมูลค่าประมาณ 200,000-220,000 บาท แต่ถ้าลงทุนใน Bitcoin จะมีมูลค่าหลายล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วงบางปี Bitcoin อาจขาดทุนมากถึง 70-80% ในขณะที่ทองคำไม่เคยขาดทุนในระดับนั้น

เทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจคือ Tokenized Gold หรือทองคำที่ถูกแปลงเป็น Token บน Blockchain ทำให้สามารถซื้อขายได้ง่ายเหมือนคริปโตแต่มีมูลค่าค้ำประกันด้วยทองคำจริง โปรเจกต์อย่าง Paxos Gold (PAXG) หรือ Tether Gold (XAUT) ให้บริการแบบนี้ โดย 1 Token มีมูลค่าเท่ากับทองคำ 1 ออนซ์ นวัตกรรมนี้เชื่อมโยงโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกัน

การตัดสินใจลงทุนในทองคำหรือคริปโตควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอายุ เป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่รับได้ และความรู้ความเข้าใจในแต่ละสินทรัพย์ การกระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์รวมถึงทองคำและคริปโตเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดในยุคปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง