เดือนกันยายนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ตลาดคริปโตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยบิทคอยน์ (BTC) ปรับตัวขึ้นราว 8% จากต้นเดือน ถือเป็นผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในเดือนกันยายนในรอบกว่า 10 ปี ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคามาจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อกฎระเบียบคริปโต ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ราคาบิทคอยน์สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบปีที่ระดับ 124,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและปรับฐานลงสู่ช่วง 118,000–120,000 ดอลลาร์ หลายฝ่ายมองว่าการพักตัวดังกล่าวเป็น “สัญญาณสุขภาพตลาด” มากกว่าจะเป็นการกลับตัวขาลง โดยแนวรับสำคัญยังคงอยู่ที่ 115,000 ดอลลาร์ หากราคายืนได้ ตลาดมีโอกาสฟื้นตัวสู่ระดับ 130,000 ดอลลาร์ในไตรมาสถัดไป
ด้านอีเธอเรียม (ETH) โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ มูลค่าสินทรัพย์รวมเพิ่มจาก 10.3 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน สู่ 27.5 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน กระแสเงินทุนไหลเข้าแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ Ethereum ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ DeFi, NFT และ Layer 2 โครงการ นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าหากราคา ETH สามารถทะลุแนวต้านที่ 4,580 ดอลลาร์ได้ มีโอกาสเห็นระดับ 5,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี
นอกจากนั้น ตัวชี้วัดความเชื่อมั่นตลาดอย่างดัชนี Fear & Greed ลดลงใกล้โซน Extreme Fear สะท้อนถึงความกังวลจากข่าวลือการบังคับขายสินทรัพย์ดิจิทัลและความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนกลับมองว่านี่เป็นโอกาสสะสมสินทรัพย์ เนื่องจากตลาดยังมีแรงสนับสนุนจากเม็ดเงินสถาบัน
สำหรับนักลงทุนไทย ปัจจัยในประเทศก็น่าสนใจไม่แพ้กัน การพัฒนากฎเกณฑ์ใหม่จากสำนักงาน ก.ล.ต. ที่เอื้อต่อการออกโทเคนดิจิทัล และโครงการนำร่องที่ภาครัฐสนับสนุนการใช้บล็อกเชนในภาคการเงิน อาจเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของตลาดในประเทศ นักลงทุนจึงควรจับตาทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน เพื่อกำหนดกลยุทธ์ลงทุนที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่ตลาดโลกยังคงผันผวน