สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตได้รับแรงกระตุ้นจากการตัดสินใจของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ที่ประกาศลดระยะเวลาอนุมัติ ETF คริปโตจาก 270 วันเหลือเพียง 75 วัน เพื่อเร่งกระบวนการสนับสนุนผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์และอีเธอเรียม ความเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นสัญญาณบวกต่อวงการ เพราะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย
ในขณะเดียวกัน BlackRock บริษัทจัดการกองทุนยักษ์ใหญ่ ได้เปิดตัว “Bitcoin Premium Income ETF” ที่มีเป้าหมายสร้างรายได้จากการถือครองบิทคอยน์พร้อมกลยุทธ์ขายสัญญา Call Options และแจกผลตอบแทนในรูปแบบปันผล กองทุนนี้ถูกจับตามองว่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดคริปโต และเปิดประตูให้นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนแบบสม่ำเสมอเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
ฝั่งยุโรป ธนาคารใหญ่ 9 แห่ง รวมถึง ING, UniCredit และ CaixaBank ประกาศความร่วมมือพัฒนา Stablecoin ที่ผูกกับค่าเงินยูโร คาดว่าจะเปิดใช้งานครึ่งหลังปี 2569 โดยมีจุดประสงค์ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ และสร้างทางเลือกใหม่ที่แข่งขันกับ USDT และ USDC ของสหรัฐฯ หากโครงการนี้สำเร็จ จะเปลี่ยนภูมิทัศน์การชำระเงินในสหภาพยุโรปอย่างมาก
สำหรับประเทศไทย ข่าวใหญ่คือสำนักงาน ก.ล.ต. เปิดตัวโครงการ “TouristDigiPay” ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้คริปโตชำระเงินผ่าน Thai QR Code โครงการนี้อยู่ในรูปแบบ sandbox เพื่อทดสอบการแปลงคริปโตเป็นเงินบาทแบบอัตโนมัติ หากสำเร็จจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและผลักดันประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ
แม้จะมีข่าวดี แต่ตลาดยังเผชิญความผันผวนสูง โดยเกิดการบังคับขาย (liquidation) มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว ทำให้ราคาบิทคอยน์และอีเธอเรียมปรับตัวลดลง ขณะที่สัญญาออปชันมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์กำลังจะหมดอายุ นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด